ความถี่ของการฟอกเลือด
คำถามที่พบบ่อยว่าทำไมผู้ให้บริการจึงแนะนำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดมาฟอกเลือดสามครั้ง
ทั้งที่คนรู้จักที่ฟอกเลือดเหมือนกันบางรายอาจทำแค่สองครั้ง ความจริงเป็นเช่นไร
ผู้ป่วยควรได้รับการฟอกเลือดกี่ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ เรามาหาคำตอบกันครับ
ตามมาตรฐานการฟอกไตของสมาคมโรคไตและมาตรฐานสากล
(KDOQI) ปริมาณความพอเพียงของการฟอกเลือด (Adequacy)
หรือถ้าดูจากค่าแลปจะใช้คำว่า SpKt/V ควรมากกว่า 1.2 สำหรับความถี่ของการฟอก 3ครั้ง แต่พออนุโลมได้ถ้ามากกว่า 2.1 สำหรับความถี่การฟอก 2 ครั้ง
ปริมาณความพอเพียงของการฟอกเลือดนั้นถูกวัดในรูปการขจัดของเสียโดยคำนวณจากระดับของเสียในเลือดที่ลดลงในหน่วยมาตรฐานเวลาของการรักษา
ซึ่งทางหน่วยไตเทียมที่ให้บริการสามารถตรวจให้ได้ โดยปกติจะตรวจทุกสามเดือน ผู้ป่วยสามารถขอทราบค่าเหล่านี้จากหน่วยไตเทียมที่ท่านรับบริการอยู่
สำหรับรายที่ค่าความพอเพียงของการฟอกเลือดไม่ถึงเกณฑ์
ควรได้รับการฟอกเลือดถี่ขึ้น เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ต้องการปลูกถ่ายไตควรฟอกเลือดให้เพียงพอเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ
สำหรับรายที่ค่าความพอเพียงของการฟอกเลือดอยู่ในเกณฑ์แล้วแต่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักมามากในแต่ละครั้งไม่สามารถดึงน้ำออกได้หมดหรือมีปัญหาความดันโลหิตตกขณะฟอกเลือดเป็นประจำที่มีสาเหตุจากหัวใจทำงานผิดปกติควรได้รับการฟอกเลือดถี่ขึ้นเพื่อดึงน้ำออกให้หมดทำให้ผู้ป่วยหายอึดอัดและลดภาวะแทรกซ้อนขณะฟอกเลือดได้
สำหรับสิทธิ์การฟอกเลือดนั้น
สิทธิ์บัตรทองและสิทธิ์เบิกได้ (ข้าราชการ) สามารถรับการฟอกเลือดได้ถี่กว่า 3
ครั้งต่อสัปดาห์ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
และอายุรแพทย์โรคไตได้ลงความเห็นว่าให้ทำด้วยเหตุผลอะไร
สำหรับสิทธิ์ประกันสังคมไม่สามารถรับการฟอกเลือดได้ถี่เกินกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (4 ครั้งขึ้นไป) ส่วนเกินต้องชำระเงินเองครับ
ในรายที่มีปัญหาค่าความพอเพียงของการฟอกเลือดไม่ถึงเกณฑ์
แต่ติดปัญหาเรื่องการเดินทาง
ไม่สามารถมารับการฟอกเลือดสามครั้งได้ ถ้าเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย ทำงานไม่กระฉับกระเฉง
หรือมีอาการบวมขึ้น ร่วมกับตรวจพบค่าแลปตัวอื่นผิดปกติ แสดงว่าการทำสองครั้งนั้นไม่เพียงพอสำหรับท่าน
อาจต้องมาคิดใหม่ว่าการทำสามครั้งอาจจะคุ้มกว่า
อย่างไรก็ดี
ความพอเพียงของการฟอกเลือดเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้
แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีผลด้วยได้แก่ ภาวะโภชนาการ ภาวะซีด ภาวะติดเชื้อ ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
โรคประจำตัวอื่นของผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคเบาหวาน เป็นต้น
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วผู้ป่วยควรดูแลตัวเองให้มากขึ้น
สามารถติดตามเนื้อหาในบทความอื่นใน bloggang เดียวกันครับ
Email: treamtrakanpon@yahoo.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น